สนามข่าว 7 สี - จากกรณีที่ดรามาในโลกออนไลน์ ชาวอิสราเอลที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เยอะเหลือเกิน แถมสร้างความเดือดร้อนในปาย รวมทั้งยังสร้างโบสถ์ยิวในพื้นที่ใกล้โรงพักแบบอยู่ตรงข้ามกัน แบบนี้จะครองเมืองปายหรือไม่ เราจึงส่ง คุณเกรียงไกร ลงพื้นที่ไปตรวจสอบ
นี่เป็นภาพที่ คุณเกรียงไกร รัตนา ผู้สื่อข่าวของเราฝ่าดอยกว่า 762 โค้ง ไปอำเภอปาย ไปที่โบสถ์ของชาวยิว ที่นับถือศาสนายูดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอิสราเอล หลังมีดรามาว่าที่แห่งนี้เป็นชุมชนที่มีชาวยิวอาศัยอยู่หลายร้อยคน ชอบออกไปสร้างความวุ่นวายในอำเภอปาย รวมถึงสถานที่แห่งนี้ "ห้ามคนไทยเข้า"
ทางโบสถ์เปิดให้ คุณเกรียงไกร เข้าไปดู ข้างนอกมีรั้วรอบขอบชิด สูงประมาณ 3 เมตร บางช่วงมีเหล็กดัดอยู่บนรั้ว ส่วนประตูปิดทึบ มองจากด้านนอกจะไม่เห็นด้านใน
แต่ฝั่งตรงข้ามเป็น สภ.ปาย ถ้าขึ้นไปอยู่บนแฟลตตำรวจ หรือบนโรงพัก ก็จะเห็นพื้นที่ด้านใน
จากการสำรวจข้างใน พบว่าข้างในมี 2 อาคารถาวร และเต็นท์สำหรับทานอาหาร 1 เต็นท์ และมีการก่อสร้างอาคารอาบน้ำมนต์อีก 1 อาคาร มีเนื้อที่ 2 งาน 99 ตารางวา
ทางผู้ดูแลพา คุณเกรียงไกร ไปดูห้องสวดมนต์ ซึ่งข้างในเป็นศาสนสถานตามพิธีกรรมของชาวยิว ซึ่งหนังสือสวดมนต์ที่ใช้จะเป็นหนังสือภาษาฮีบรูทั้งหมด ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวยิวใช้
เจ้าหน้าที่บอกว่า จะมีการทำพิธีชาบาด คล้ายกับพิธีมิสซา ทุกวันศุกร์และวันเสาร์ จะมีชาวยิวมาร่วมพิธี 200-300 คน ทำให้ต้องมีการขอกำลังตำรวจมาช่วยรักษาความปลอดภัย ซึ่งเทางสถานทูตอิสราเอล ทำหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ส่วนพนักงานที่นี่เป็นคนไทยทั้งหมด สื่อสารภาษาอังกฤษได้และพูดภาษาฮีบรูได้ ซึ่งถ้ามีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลก่อความวุ่นวายจนถูกจับ เจ้าหน้าที่จะไปช่วยเหลือด้านการสื่อสาร แต่ก็ให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย และยืนยันที่ตรงนี้ไม่ได้เป็นชุมชน
แล้วมาตั้งโบสถ์ยิวได้อย่างไร คุณเกรียงไกรได้ข้อมูลมาว่า มีการจัดตั้งบริษัท กาน ชาบาด จำกัด มีคนไทยเป็น 1 ใน 3 กรรมการ โดยทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท บริษัทนี้จะไปเช่าหรือซื้อที่ดินในหลายจังหวัด เพื่อตั้งโบสถ์ยิวมีการขออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บริษัทนี้มีสำนักงานใหญ่อยู่ในย่านสีลม กทม.
ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้ พลตำรวจตรี พิเชษฐ จีระนันตสิน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดระเบียบเมืองปาย
พบว่าข้อมูลที่มีการกล่าวอ้างว่าชาวยิว อาศัยอยู่ที่ปายถึง 3 หมื่นคน ที่จริงแล้วทางตำรวจตรวจคนเข้าเมืองกางข้อมูลให้ดู ตัวเลข 3 หมื่นคน เป็นการขอวีซาเข้ามาท่องเที่ยวปกติ และเป็นตัวเลขหมุนเวียน ไม่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ถาวร