หนุ่มวัย 33 ปี เจ้าของลานรับซื้อข้าวเปลือก เครียดหนักหลังทะเลาะเลิกกับแฟนหนุ่มที่อยู่กินด้วยกันมา 3 ปี ดื่มเบียร์ย้อมใจ ก่อนคว้าปืนปลิดชีพตนเองเสียชีวิตคาบ้าน
วันนี้ (17 ก.พ. 68) ศูนย์กู้ภัยสุรินทร์ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ สภ.สวาย จ.สุรินทร์ ว่ามีเหตุคนยิงตัวตายที่บริเวณลานรับซื้อข้าวเปลือกในพื้นที่บ้านนาแห้ว ต.สวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ จึงประสานไปยัง ร.ต.อ.ธสิทธิ นุติกรพิพัฒ รอง สว.สอบสวน สภ.สวาย พร้อมแพทย์เวรนิติเวชโรงพยาบาลสุรินทร์ เดินทางไปตรวจสอบ
ณ ที่เกิดเหตุเป็นลานรับซื้อข้าวเปลือกและมันสำปะหลัง และมีบ้านพักสองชั้น บริเวณชั้นล่างพบชายไทย 1 คน นอนหงายจมกองเลือดเสียชีวิตอยู่ที่พื้นห้องรับแขก ทราบชื่อต่อมาชื่อ นายภานุพงษ์ อายุ 33 ปี เป็นเจ้าของลานรับซื้อข้าวเปลือก ที่มือข้างขวาพบอาวุธปืน Glock 9 มม. ใกล้มือข้างซ้ายพบโทรศัพท์มือถือตกอยู่ มีบาดแผลที่บริเวณขมับขวาเป็นรูกระสุนทะลุหลังศีรษะ
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบกระสุนปืน 9 มม. ตกอยู่ที่ประตูทางเข้าและประตูเลื่อนอลูมิเนียมยุบ ผ้าม่านเป็นรูกระสุนปืน พร้อมทั้งยังพบปลอกกระสุนปืน 9 มม. ตกอยู่ที่เก้าอี้ไม้ 1 ปลอก และพบแม็กกาซีนไม่ได้บรรจุลูกกระสุนและเครื่องกระสุนปืน 9 มม. อีกจำนวน 6 ลูก อยู่ในเซฟ
จากการสอบถาม นายศรีวิชัย อายุ 25 ปี ลูกจ้างลานรับซื้อข้าวเปลือก เล่าว่า นายจ้างมีแฟนหนุ่มชื่อ นายจิรเดช อยู่กินด้วยกันมา 3 ปี ที่ลานรับซื้อข้าวเปลือกแห่งนี้ โดยทางครอบครัวของนายจ้างไม่สนับสนุนให้ทั้งคู่คบกัน ก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (16 ก.พ.68) นายจ้างได้มีปากเสียงทะเลาะเลิกกันกับแฟนหนุ่ม และนายจ้างได้ขนของขับรถยนต์ไปส่งแฟนหนุ่ม จากนั้นก็กลับมาที่บ้านนั่งดื่มเบียร์ ต่อมาเวลา 00.10 น. ตนเดินออกมาเข้าห้องน้ำ ซึ่งเดินผ่านที่บ้านพักของนายจ้างก็สังเกตเห็นขาของนายจ้างนอนหงายอยู่ ตนนึกว่านายจ้างเมาเลยลงนอน หลังจากตนเข้าห้องน้ำเสร็จก็ยังเห็นนายจ้างนอนและยังเปิดไฟอยู่ ตนจึงเดินเข้าไปปลุกให้นายจ้างขึ้นไปนอนชั้น 2 เมื่อเข้ามาเห็นก็พบว่านายจ้างเสียชีวิตแล้ว จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจและอาสากู้ภัย พร้อมกับญาติของนายจ้าง ซึ่งตนไม่ได้นินเสียงปืนเลย
ทาง ร.ต.อ.ธสิทธิ นุติกรพิพัฒน์ รอง สว.สอบสวน สภ.สวาย พร้อมด้วยแพทย์เวรนิติเวชโรงพยาบาลสุรินทร์ ได้ทำการบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับจะเรียกคนงานมาสอบสวนหาข้อเท็จจริง และได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในบ้านพักแต่ก็เปิดไม่ได้เพราะว่าผู้ตายใส่รหัสไว้ มีเพียงผู้ตายที่รู้รหัสเพียงคนเดียว ซึ่งทางญาติไม่ติดใจในการเสียชีวิตครั้งนี้
หลังจากนี้ แพทย์เวรนิติเวชโรงพยาบาลสุรินทร์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ให้อาสากู้ภัยนำร่างของผู้เสียชีวิตไปที่นิติเวชโรงพยาบาลสุรินทร์ เพื่อชันสูตรพลิกศพอีกครั้ง