เจาะประเด็นข่าว 7HD - มาตรการกดดันปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ และเว็บฯ พนัน มีความคืบหน้าทั้งจากฝั่งไทย และประเทศเมียนมา ทั้งจับกุมทลายฐานที่ตั้ง และสกัดจับไม่ให้คนหลบหนีเข้าเมือง ขณะที่ไทยเองก็ต้องเตรียมรับคนที่ไปทำงานให้แก๊งคอลเซนเตอร์ กลับมาดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศ
เริ่มจากที่ในฝั่งท่าขี้เหล็ก เพจฯ ข่าวท้องถิ่นในเมืองท่าขี้เหล็ก รายงานว่า ช่วงคืนของวันที่ 12-14 กุมภาพันธ์ ตำรวจของเมียนมา บุกเข้าจับกุมบ่อนพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย 2 จุด ในเขตบ้านสันทราย ในตัวเมืองท่าขี้เหล็ก โดยมีผู้ถูกจับรวม 29 คน เป็นชาวเมียนมา 22 คน และชาวไทย 7 คน ยึดของกลางเป็นคอมพิวเตอร์เกือบ 400 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือรวมกว่า 390 เครื่อง, รถยนต์จำนวน 2 คัน และโทรศัพท์มือถือ 300 เครื่อง
กระเถิบลงมาที่จังหวัดสระแก้ว ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพ ขณะที่ตำรวจทางหลวง และชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 2 เข้าเรียกตรวจรถยนต์คันหนึ่ง ที่ติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกไฟแดงบ้านแก้ง บนถนนสุวรรณศร ในอำเภอเมืองสระแก้ว จับกุมชาวจีนได้ 5 คน พร้อมโทรศัพท์มือถือ 19 เครื่อง
ล่ามแปลภาษา บอกว่า นายจาง หนึ่งในผู้ต้องหา อ้างว่าตนเองถูกหลอกมาทำงานให้แก๊งคอลเซนเตอร์ ต่อมาหลังไทยกดดันตัดไฟ ตัดน้ำมัน นายทุนจึงให้ย้ายฐานที่ตั้งไปอยู่ที่เมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ของกัมพูชา ซึ่งตรงข้ามกับ อำเภออรัญประเทศ แล้วให้เริ่มย้ายพวกระดับหัวหน้าก่อน ทีนี้ระหว่างเดินทางเกิดเปลี่ยนใจ ไม่อยากทำงานนี้ต่อ เลยขอความช่วยเหลือกับตำรวจท่องเที่ยว จนนำไปสู่การจับกุมได้
ส่วนที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก การประชุมที่เกิดขึ้นวันนี้ เป็นสัญญาณที่ดีที่จะได้เห็นความร่วมมือในการผลักดันกลุ่มคนต่างชาติที่เคยไปทำงานให้แก๊งคอลเซนเตอร์ ทยอยข้ามกลับมาฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง โดย พันตรี ซอฮัน อู ประธานคณะกรรมการชายแดนไทยเมียนมาส่วนท้องถิ่นแม่สอด-เมียวดี เป็นตัวแทนหารือกับ พลตรี ไมตรี ชูปรีชา ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร พร้อมกับตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ข้อมูลที่น่าสนใจ ระบุว่า ฝ่ายกระเหรี่ยง BGF ได้กวาดล้างแก๊งคอลเซนเตอร์ ในเมืองชเวโก๊กโก่ พบชาวต่างชาติประมาณ 2,000 คน และล่าสุดมีอีกกว่า 1,000 คน ที่สมัครใจอยากเดินทางกลับ ขณะที่ผลการหารือเบื้องต้น คาดว่าจะมีการทยอยส่งข้ามมาฝั่งไทย เฉลี่ยประมาณวันละ 500 คน และทางฝั่งเมียนมาเอง ก็พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ขณะที่ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ พูดถึงกระบวนการหลังรับตัวชาวต่างชาติกลับมาแล้วว่า จะต้องตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตัวมา และสอบถามว่า ระหว่างอยู่ที่นั้น ได้ทำงานในกลุ่มแก๊งไหน ผู้เสียหายเป็นใคร
ซึ่งอย่างกลุ่ม 261 คน พบว่ากลุ่มนี้จะหลอกคนจีน และอินเดีย เป็นหลัก หากพบว่าหลอกคนไทย ก็จะเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายไทย ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
ส่วนข้อมูลเรื่องการย้ายฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซนเตอร์ ก็พบว่าสอดคล้องกัน คือมีการย้ายฐานไปพื้นที่อื่นตามแนวตะเข็บชายแดน จากตะวันตก ไปที่ทางตะวันออก และผลของการกดดันปราบราม ยังทำให้จำนวนสถิติการแจ้งเหตุอาชญากรรม ลดลงจาก 1,100-1,200 คดีต่อวัน เหลือแค่ 800 คดีนิด ๆ เท่านั้น