“อัยการคดีค้ามนุษย์” เบรกหมายจับ“หม่องชิตตู” ชี้หลักฐานไม่เพียงพอ แนะ “ดีเอสไอ” สอบพยานหลักฐานให้รัดกุมก่อนขอออกหมายจับ
วันนี้ (13 ก.พ.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าหารือกับอัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีค้ามนุษย์ เพื่อปรึกษาข้อกฎหมายในการยื่นคำร้องขอออกหมายจับผู้ต้องหาซึ่งคาดว่าประกอบด้วย พันเอก หม่องชิตตู , พันโท โมเต โธน และ พันตรี ทิน วิน ในความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ทางพนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ซึ่งเป็นอัยการร่วมสอบสวนในคดีนอกราชอาณาจักร ได้หารือเบื้องต้นพบว่า พยานหลักฐานน่ายังไม่เพียงพอที่จะให้ศาลออกหมายได้ จึงเห็นควรให้ดีเอสไปสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้รอบคอบรัดกุม ก่อนนำมาพิจารณาที่จะยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายจับต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพฤติการณ์ที่ DSI นำเข้าหารือกับพนักงานอัยการในเรื่องขออกหมายจับนั้น เป็นกรณีที่กลุ่มผู้ต้องหานำชาวอินเดียไปทำการค้ามนุษย์และบังคับทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ที่บ่อนในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ประเทศไทย แต่ทางการไทยสามารถช่วยกลับมาได้ 7 ราย โดยพบว่าทั้ง 7 รายมีลักษณะพฤติการณ์ถูกหลอกโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน คล้ายคลึงกับกรณีซิง ซิง นักแสดงชาวจีนที่ถูกหลอก และทางการไทยสามารถช่วยเหลือได้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินคดีขบวนการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับใครบ้าง
นอกจากนี้ มีรายงานจาก DSI ว่า คดีนี้อาจจะมีชาวไทยประมาณ 2 ราย ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทและพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งที่ให้บริการจัดทำรีสอร์ตทั้งในไทยและในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา เกี่ยวข้องกับขบวนการนำส่งคนไปทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์
เเหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุดระบุว่า หากมีการดำเนินคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ที่กฎหมายให้อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือมีอำนาจตั้งพนักงานสอบสวน ซึ่งโดยปกติเมื่อมีการตั้งพนักงานสอบสวนแล้วอัยการสูงสุดก็จะตั้งพนักงานอัยการจากสำนักงานการสอบสวนมาร่วมสอบสวน แต่ที่ผ่านมากจะพบว่าเมื่อเป็นคดีนอกราชอาณาจักรเเละเป็นความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ฯ ส่วนมากอัยการสูงสุดก็จะให้พนักงานอัยการจากสำนักงานคดีค้ามนุษย์ร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนด้วย เพื่อให้คดีเป็นไปอย่างราบรื่นต่อเนื่องกัน เนื่องจากมีสำนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์เฉพาะ ซึ่งก็มีหลายฝ่ายเองมองว่าอาจขัดกับหลักการถ่วงดุลตรวจสอบ เพราะจะกลายเป็นสอบสวนเเละสั่งคดีเองในสำนักงานเดียวกัน